วิธีติดตั้งโช๊คประตู ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง เลือกอย่างไรให้เหมาะกับการใช้งาน ?

893 จำนวนผู้เข้าชม  | 

ภาพมือถือไขควงกำลังติดตั้งโช๊คอัพบนบานประตูไม้ พร้อมข้อความหัวข้อ วิธีติดตั้งโช๊คประตู ง่าย ๆ ด้วยตัวเอง

S.J.Sourcing สรุปให้

  • วิธีติดตั้งโช๊คประตู ด้วยตัวเองทำได้ไม่ยาก แค่มีเครื่องมือพื้นฐานและทำตามขั้นตอนที่ถูกต้อง
  • โช๊คประตูมี 4 ประเภทหลัก ได้แก่ แบบติดผิวบาน แบบซ่อนในบาน แบบซ่อนในพื้น และแบบบานเลื่อน
  • เครื่องมือที่จำเป็นสำหรับวิธีติดโช๊คประตู ได้แก่ สว่าน ไขควง ตลับเมตร และประแจเลื่อน
  • การปรับตั้งค่าหลังการติดตั้งโช๊คประตูมีความเร็วการปิด 2 จังหวะ
  • การเลือกโช๊คประตูต้องพิจารณาน้ำหนักของประตูและประเภทการใช้งาน


วิธีติดตั้งโช๊คประตู ขั้นตอนที่ช่วยจัดการปัญหาประตูปิดกระแทกเสียงดัง โช๊คประตู หรือที่เรียกว่า Door Closer เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยควบคุมการเปิด-ปิดของประตูให้นุ่มนวล ป้องกันการกระแทกที่อาจสร้างความเสียหายต่อประตูและวงกบ โช๊คประตูทำหน้าที่ชะลอเวลาการปิดประตู กำหนดจังหวะการปิด และช่วยลดการกระแทกจากการปิดประตู

บทความนี้ S.J.Sourcing จะอธิบายวิธีติดโช๊คประตู ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม การวัดตำแหน่ง จนถึงการปรับตั้งค่าหลังการติดตั้งโช๊คประตู พร้อมเทคนิคการเลือกโช๊คที่เหมาะกับประตูแต่ละชนิดค่ะ

เลือกอ่านตามหัวข้อ

 

การเตรียมความพร้อมก่อนเริ่ม วิธีติดตั้งโช๊คประตู

วิธีติดตั้งโช๊คประตู ต้องเตรียมเครื่องมือที่จำเป็นให้พร้อมและเช็คข้อมูลพื้นฐานของประตูก่อน การเตรียมความพร้อมที่ดีช่วยให้การติดตั้งเร็วขึ้นและได้ผลลัพธ์ที่ดี เครื่องมือพื้นฐานที่ควรมี ได้แก่

  • สว่านเจาะ ใช้สำหรับเจาะรูยึดโช๊คประตูลงบนบานประตูกับวงกบ ควรเป็นสว่านที่มีกำลังเพียงพอและดอกสว่านที่เข้ากับวัสดุประตู
  • ไขควงหรือไขควงไฟฟ้า ใช้สำหรับขันสกรูยึดชิ้นส่วนต่าง ๆ ของโช๊คประตู ไขควงไฟฟ้าช่วยให้การทำงานรวดเร็วและแน่นหนาขึ้น
  • ตลับเมตร ใช้วัดตำแหน่งติดตั้งให้ถูกต้องตามคู่มือ
  • ประแจเลื่อน ใช้สำหรับขันหรือคลายน็อตและเกลียวในระหว่างการติดตั้ง
  • ดินสอและระดับน้ำ ใช้ทำเครื่องหมายตำแหน่งและตรวจเช็คความเรียบ
  • คีมล็อค (ถ้ามี) ช่วยยึดชิ้นส่วนให้อยู่ในตำแหน่งขณะติดตั้ง

ควรตรวจเช็คอะไรก่อนเริ่ม การติดตั้งโช๊คประตู ?

นอกจากการเตรียมอุปกรณ์แล้ว ก่อนเริ่มวิธีติดโช๊คประตู ควรเช็คข้อมูลของประตูและพื้นที่หน้างานก่อนเสมอ ดังนี้

  1. น้ำหนักและขนาดของประตู ต้องเลือกโช๊คประตูที่มีกำลังการปิดเข้ากับมาตรฐาน EN ระดับ 1-6 ตามน้ำหนักและความกว้างของประตู ประตูที่หนักกว่าต้องใช้โช๊คที่มีกำลังมากขึ้น
  2. ทิศทางการเปิดประตู เช็คว่าประตูเปิดออกหรือเปิดเข้า และบานพับอยู่ด้านซ้ายหรือขวา เพื่อเลือกวิธีติดตั้งที่เข้ากัน | บานพับประตูมีกี่แบบ ?
  3. วัสดุของประตูและวงกบ โช๊คประตูสามารถติดตั้งได้ทั้งประตูไม้ ประตูเหล็ก ประตูอลูมิเนียม แต่ต้องใช้ดอกสว่านและสกรูที่เข้ากับวัสดุนั้น ๆ
  4. พื้นที่ในการติดตั้งโช๊คประตู เช็คว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับติดตั้งโช๊คและแขนโช๊ค โดยเฉพาะบริเวณด้านบนของประตูกับวงกบ

 

การเลือก โช๊คประตู ให้เหมาะกับการใช้งาน

วิธีติดตั้งโช๊คประตูให้ได้ผลดี เริ่มต้นจากการเลือกโช๊คที่เข้ากับประตู ต้องพิจารณาจากน้ำหนักประตู ประเภทของประตู และลักษณะการใช้งาน ประตูแต่ละแบบ เช่น บานสวิง บานเลื่อน หรือบานเปิด-ปิดธรรมดา ก็ต้องการโช๊คที่ออกแบบมาต่างกัน การเลือกที่ถูกต้อง ช่วยให้โช๊คทำงานได้เต็มที่และมีอายุการใช้งานนานขึ้นค่ะ

กำลังการปิดตามมาตรฐาน EN คืออะไร ?

มาตรฐาน EN (European Norm) เกณฑ์ที่ใช้วัดกำลังการปิดของโช๊คประตู แบ่งออกเป็น 7 ระดับ ตั้งแต่ EN 1 ถึง EN 7 แต่ละระดับจะถูกกำหนดให้เข้ากับน้ำหนักและขนาดของประตูที่แตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ

มาตรฐาน ENน้ำหนักประตูที่รองรับความกว้างประตูสูงสุดการใช้งานที่เข้ากัน
EN 1ไม่เกิน 20 กก.750 มม.ประตูเล็กในบ้าน ประตูตู้ ประตูห้องน้ำเบา
EN 2ไม่เกิน 40 กก.850 มม.ประตูห้องในบ้าน ประตูคอนโดมาตรฐาน
EN 3ไม่เกิน 60 กก.950 มม.ประตูหน้าบ้าน ประตูออฟฟิศภายในอาคาร
EN 4ไม่เกิน 80 กก.1,100 มม.ประตูหนัก ประตูสำนักงานใหญ่ ประตูทางเข้าของหอพัก/แฟลต
EN 5ไม่เกิน 100 กก.1,250 มม.ประตูอาคารสาธารณะ ประตูทางเข้าอาคารเรียน/โรงพยาบาล
EN 6ไม่เกิน 120 กก.1,400 มม.ประตูขนาดใหญ่มาก ประตูอาคารที่มีแรงลมปะทะสูง
EN 7ไม่เกิน 160 กก.1,600 มม.ประตูขนาดใหญ่พิเศษ (Heavy Duty) ประตูที่ต้องการกำลังปิดสูงมาก

 ค่าน้ำหนักประตูกับความกว้างประตู เป็นค่าแนะนำสูงสุดโดยประมาณ การเลือกใช้โช๊คประตูที่ถูกต้องควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น แรงลม ความถี่ในการใช้งาน และน้ำหนักของบานพับ/อุปกรณ์เสริม สามารถเลือกระดับที่สูงกว่าเล็กน้อยเพื่อความทนทาน แต่ไม่ควรเลือกสูงเกินเพราะจะทำให้เปิดประตูได้ยากขึ้นค่ะ

ยี่ห้อโช๊คประตูที่แนะนำ

ในท้องตลาดมีโช๊คประตูให้เลือกหลายยี่ห้อ เช่น HAFELE, ISON, SOLEX, YALE, JARTON แต่ละยี่ห้อก็มีจุดเด่นและช่วงราคาที่ต่างกัน ทำให้เลือกได้ตามความต้องการกับงบที่มี ดังนี้ค่ะ

  • HAFELE แบรนด์จากเยอรมนี มีความทนทานสูง เข้ากับการใช้งานในบ้านและสำนักงาน ราคาอยู่ในระดับกลางถึงสูง
  • YALE มีระบบปรับความเร็วและแรงปิดได้ ทำให้เข้ากับบ้านที่มีผู้สูงอายุหรือเด็ก
  • ISON แบรนด์ไทยที่มีหลายรุ่นให้เลือกตามน้ำหนักประตู ราคาเข้าถึงง่าย เข้ากับการใช้งานทั่วไป
  • SOLEX เป็นอีกหนึ่งยี่ห้อที่มีคุณภาพและราคาที่เข้าถึงได้ มีให้เลือกหลายรุ่นตามการใช้งาน
  • JARTON แบรนด์ไทยที่มีประสบการณ์มานาน ผ่านมาตรฐานการทดสอบการลามไฟ และมีโรงงานผลิตในประเทศ

ถ้าแบ่งตามช่วงราคา รุ่นพื้นฐานของ ISON และ SOLEX อยู่ที่ประมาณ 300-500 บาท ส่วนรุ่นที่มีฟังก์ชันเพิ่มขึ้นของ YALE กับ SOLEX อยู่ในช่วง 500-1,000 บาท สำหรับ HAFELE กับ JARTON ที่เน้นความทนทานและอายุการใช้งานนาน ราคาเริ่มต้นที่ 1,000 บาทขึ้นไปค่ะ

อ่านเพิ่มเติม: โช๊คประตูยี่ห้อไหนดี ? ที่แข็งแรงและตอบโจทย์ทุกการใช้งาน

ควรเลือกฟีเจอร์เพิ่มเติมอะไรบ้าง ?

นอกจากการเลือกกำลังการปิดและยี่ห้อแล้ว ฟังก์ชันเสริมก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น ได้แก่

  • การปรับความเร็ว 2 จังหวะ ฟังก์ชันพื้นฐานที่ช่วยให้ปรับการทำงานของประตูได้ตามที่ต้องการ
  • ระบบ Backcheck เหมาะกับพื้นที่ที่มีลมแรงหรือมีคนเดินเข้าออกบ่อยครั้ง เพื่อช่วยชะลอไม่ให้ประตูเปิดกระแทกผนัง
  • ฟังก์ชันตั้งค้าง มีประโยชน์สำหรับพื้นที่ที่ต้องเปิดประตูค้างไว้บ่อย ๆ เช่น ห้องที่ต้องการระบายอากาศ
  • ความทนทานต่อสภาพอากาศ เหมาะกับประตูติดตั้งภายนอกอาคารที่ต้องเจอกับแดดและฝน ควรเลือกรุ่นที่มีการเคลือบสารป้องกันสนิม

 

วิธีติดตั้งโช๊คประตู มีขั้นตอนอย่างไร ?

 

วิธีติดตั้งโช๊คประตูแบบติดผิวบาน (Surface Mounted) คือการนำโช๊คไปยึดติดที่ขอบประตูด้านบานพับ สามารถทำได้ทั้งแบบมาตรฐานหรือแบบแขนขนาน การทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องช่วยให้โช๊คทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่นานขึ้น ขั้นตอนการติดตั้งโช๊คประตูหลัก ๆ มีดังนี้

ขั้นตอนที่ 1 วัดและกำหนดตำแหน่งการติดตั้ง

วัดและทำเครื่องหมายตำแหน่งติดตั้งให้ถูกต้องตามคู่มือที่มากับโช๊คประตู ส่วนใหญ่โช๊คประตูมีแผ่นเทมเพลต (Template) มาให้สำหรับวางทำเครื่องหมาย ถ้าไม่มีให้วัดตามระยะที่ระบุในคู่มือ ทำเครื่องหมายตำแหน่ง 2 จุดหลัก ได้แก่

  • จุดที่ 1 บนบานประตู ตำแหน่งสำหรับยึดตัวโช๊คประตู (ปกติอยู่ห่างจากมุมบนด้านบานพับประมาณ 10-15 ซม.)
  • จุดที่ 2 บนวงกบหรือผนัง ตำแหน่งสำหรับยึดแขนโช๊ค (ต้องคำนวณให้แขนทำงานได้ราบรื่นเมื่อประตูเปิด-ปิด)

ตำแหน่งที่ติดตั้งมีผลต่อการทำงานของโช๊ค ถ้าติดตั้งใกล้บานพับมากเกินทำให้ประตูปิดแรง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด

ควรตรวจให้แน่ใจว่าตำแหน่งเป็นระดับโดยใช้ระดับน้ำ การวัดตำแหน่งที่ไม่แม่นยำอาจทำให้แขนโช๊คทำมุมที่ผิดปกติ ส่งผลให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ

ขั้นตอนที่ 2 เจาะรูติดตั้ง

ใช้สว่านไฟฟ้าเจาะรูตามจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ ควรเลือกขนาดดอกสว่านให้เหมาะกับสกรูที่มาพร้อมโช๊ค ปกติใช้ดอกสว่านขนาด 3-4 มม. สำหรับประตูไม้ และอาจต้องใช้ดอกสว่านเจาะเหล็กสำหรับประตูเหล็ก

เจาะรูให้ลึกพอที่จะรองรับความยาวของสกรู แต่ไม่ควรลึกเกินจนทะลุออกด้านหลัง ขณะเจาะควรกดสว่านเบา ๆ และให้ดอกสว่านทำงานด้วยความเร็วของมันเอง ข้อควรระวังในการเจาะรู มีดังนี้

  • เจาะตั้งฉากกับพื้นผิวประตูเพื่อไม่ให้สกรูเอียง
  • เจาะให้ลึกพอดีกับความยาวสกรู ไม่ควรเจาะทะลุประตู
  • ถ้าเป็นประตูเหล็ก ควรใช้ดอกสว่านเจาะเหล็กและหยดน้ำมันหล่อลื่นระหว่างเจาะ
  • สำหรับประตูไม้ ควรใช้ดอกสว่านที่มีความคมและเจาะด้วยความเร็วปานกลาง

ขั้นตอนที่ 3 ติดตั้งตัวโช๊คบนบานประตู

ยึดตัวโช๊คประตูลงบนบานประตูด้วยสกรูที่มาในชุด วางตัวโช๊คให้รูสกรูตรงกับรูที่เจาะไว้ จากนั้นใช้ไขควงขันสกรูให้แน่น แต่ไม่ควรขันแน่นจนทำให้เกลียวพังหรือตัวโช๊คบิดเบี้ยว ตรวจเช็คว่าตัวโช๊คติดแน่นและไม่มีการโยกไหว

จากกรณีของผู้ใช้ที่แชร์ประสบการณ์ บางคนพบปัญหาสกรูที่มาให้ไม่แข็งแรงพอ โดยเฉพาะกับประตูที่หนัก แนะนำให้ใช้สกรูคุณภาพหรือสกรูแบบตัวหนอนสำหรับประตูไม้เพื่อการยึดที่แข็งแรงกว่าค่ะ

ขั้นตอนที่ 4 ติดแขนโช๊คที่วงกบประตู

ติดตั้งแผ่นยึดแขนโช๊คบนวงกบหรือผนังตามตำแหน่งที่วัดไว้ ใช้สว่านเจาะรูและยึดแผ่นรองรับด้วยสกรู จากนั้นเชื่อมต่อแขนโช๊คเข้ากับตัวโช๊คกับแผ่นยึด วิธีติดโช๊คประตูแขนโช๊คมี 3 แบบหลัก ได้แก่

  • แบบมาตรฐาน (Standard Arm) แขนติดตรงจากโช๊คไปยังวงกบ เข้ากับการใช้งานทั่วไป
  • แบบแขนขนาน (Parallel Arm) แขนวางขนานกับประตูเมื่อปิด ช่วยให้ประตูเปิดได้กว้างขึ้น
  • แบบติดบนวงกบ (Top Jamb Installation) ติดโช๊คบนวงกบแทนบานประตู เข้ากับประตูที่มีพื้นที่บนบานประตูจำกัด

ขั้นตอนที่ 5 เชื่อมต่อตัวโช๊คกับแขนโช๊ค

เมื่อทั้งตัวโช๊คและแขนโช๊คติดแน่นแล้ว ให้เชื่อมต่อทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันด้วยหมุดหรือสกรูที่มาพร้อมชุด ตรวจว่าการเชื่อมต่อแน่นหนา และแขนโช๊คสามารถเคลื่อนที่ได้ดี

วิธีเช็คการทำงานเบื้องต้น

ทดสอบเปิด-ปิดประตูหลายครั้งเพื่อตรวจเช็คว่าโช๊คทำงานได้ปกติ ประตูควรปิดด้วยตัวเองช้า ๆ และปิดสนิทโดยไม่กระแทก ถ้ายังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ให้ปรับตั้งค่าในขั้นตอนถัดไป โดยจุดที่ต้องเช็คมีดังนี้

  • ประตูปิดได้สนิทหรือไม่
  • ไม่มีเสียงผิดปกติจากโช๊คหรือบานพับ
  • แขนโช๊คไม่กระทบกับวงกบหรือผนังขณะเปิด-ปิด
  • การเคลื่อนที่ของแขนโช๊คราบรื่นและไม่สะดุด

 

หลังการติดตั้งโช๊คประตู ต้องปรับตั้งค่าตรงไหน ?

หลังจากทำตามวิธีติดตั้งโช๊คประตูเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรับตั้งค่าความเร็วและจังหวะการปิดให้ลงตัว โช๊คประตูส่วนใหญ่ปรับจังหวะการปิดด้วยวาล์วไฮดรอลิก สามารถปรับความเร็วได้ การตั้งค่าที่ถูกต้องทำให้โช๊คทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการใช้งานค่ะ

วิธีติดโช๊คประตู จุดปรับความเร็วอยู่ตรงไหน ?

จุดปรับความเร็วจะอยู่ที่ตัวโช๊คประตู มีลักษณะเป็นสกรูขนาดเล็กหรือน็อต 2 ตัวที่หมุนได้ด้วยไขควงหรือประแจแอล (Allen key) วาล์วปรับความเร็ว 2 จุดหลัก ได้แก่

  • วาล์วจังหวะที่ 1 (Sweep Speed) ควบคุมความเร็วการปิดหลักของประตู ตั้งแต่มุมเปิดกว้างจนถึงประมาณ 15° ก่อนประตูปิดสนิท
  • วาล์วจังหวะที่ 2 (Latching Speed) ควบคุมความเร็วในช่วง 15° สุดท้ายก่อนประตูปิดสนิท จังหวะนี้มีผลต่อการที่ประตูเข้าล็อกได้พอดี

วิธีปรับความเร็วให้เข้ากัน

การปรับความเร็วทำได้ด้วยการหมุนสกรูวาล์วตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา

  • หมุนตามเข็มนาฬิกา (ขันเข้า) ทำให้ประตู-ปิดช้าลง เหมาะกับบ้านที่มีเด็กเล็กหรือผู้สูงอายุ
  • หมุนทวนเข็มนาฬิกา (คลายออก) ทำให้ประตู-ปิดเร็วขึ้น เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการให้ประตูปิดอัตโนมัติแบบรวดเร็ว

มีคำแนะนำจากผู้ใช้งานว่าไม่ควรหมุนสกรูออกมากเกินไปในครั้งเดียว ให้ค่อย ๆ หมุนทีละ 1/4 รอบแล้วทดสอบการปิดของประตู จากนั้นค่อยปรับเพิ่มจนได้ความเร็วที่ต้องการ การหมุนสกรูออกมากเกินอาจทำให้น้ำมันไฮดรอลิกรั่วซึมออกมาได้ค่ะ

การตั้งค่าความเร็วที่แนะนำตามสถานการณ์

สถานการณ์การตั้งค่าที่แนะนำ
บ้านที่มีเด็กเล็กปรับให้ปิดช้าทั้ง 2 จังหวะ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุนิ้วหนีบ
ห้องแอร์หรือห้องที่ต้องการปิดสนิทปรับจังหวะที่ 2 ให้เร็วขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ประตูปิดเข้าล็อกได้สนิท
สถานที่ที่มีคนเดินผ่านบ่อยปรับจังหวะที่ 1 ให้มีความเร็วปานกลาง และจังหวะที่ 2 ให้ช้าลงเล็กน้อย

ฟังก์ชันเพิ่มเติมของการติดตั้งโช๊คประตู

นอกจากการปรับความเร็วแล้ว โช๊คประตูบางรุ่นยังมีฟังก์ชันเสริมที่สามารถปรับตั้งได้ เช่น

  1. Backcheck ระบบที่ช่วยลดแรงต้านตอนเปิดประตู ป้องกันไม่ให้ประตูเปิดไปกระแทกกับผนังหรือวงกบเมื่อมีคนเปิดแรง เหมาะกับบริเวณที่มีลมแรงหรือมีการใช้งานที่รุนแรง
  2. ฟังก์ชันตั้งค้าง (Hold Open) โช๊คบางรุ่นอาจมีกลไกตั้งค้างอยู่ที่แขน ช่วยให้เปิดประตูค้างไว้ในมุมที่กำหนดได้ เช่น 90° หรือ 105° สะดวกตอนขนของหรือเมื่อต้องการระบายอากาศ

ปัญหาที่พบบ่อยและวิธีแก้ไข

การทำตามวิธีติดตั้งโช๊คประตูที่ถูกต้อง ในบางครั้งก็อาจพบปัญหาเล็กน้อยหลังการติดตั้งได้ ดังนี้ค่ะ

  • ประตูเปิดยากหรือต้องใช้แรงมาก ปัญหานี้เกิดจากโช๊คมีแรงต้านสูงเกิน ทำให้เปิดประตูลำบาก โดยเฉพาะกับเด็กและผู้สูงอายุ วิธีแก้ไขคือการเลือกโช๊คที่มีกำลังพอดีกับน้ำหนักประตู หรือปรับตำแหน่งติดตั้งให้ห่างจากบานพับมากขึ้นเล็กน้อย
  • ประตูปิดไม่สนิทหรือดีดกลับ เกิดจากการปรับจังหวะที่ 2 (Latching Speed) ให้ช้าเกิน ทำให้แรงส่งไม่พอที่จะดันให้กลอนเข้าล็อก แก้ไขด้วยการปรับวาล์วจังหวะที่ 2 ให้เร็วขึ้นทีละน้อยจนกว่าประตูปิดเข้าล็อกได้สนิท
  • ประตูปิดกระแทกเสียงดัง เกิดจากการตั้งค่าความเร็วในการปิดเร็วไป วิธีแก้ไขคือหมุนสกรูวาล์วทั้งสองตัวตามเข็มนาฬิกาเพื่อชะลอความเร็วลงจนอยู่ในระดับที่พอใจ

 

การติดตั้งโช๊คประตู แต่ละชนิดแตกต่างกันไหม ?

วิธีติดตั้งโช๊คประตูสำหรับประตูแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของขั้นตอนและข้อควรระวัง โช๊คอัพประตูมีอยู่ 4 รูปแบบหลักที่แบ่งตามลักษณะการติดตั้ง ได้แก่ แบบติดบนบานประตู แบบซ่อนในบาน แบบซ่อนในพื้น และแบบสำหรับประตูบานเลื่อน การเลือกรูปแบบโช๊คกับวิธีการติดตั้งให้เข้ากับประตู ช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ

วิธีติดตั้งโช๊คประตูไม้และประตูยูพีวีซี

ประตูไม้และประตูยูพีวีซีติด ตั้งได้ง่ายเพราะสามารถเจาะรูกับยึดสกรูได้โดยตรง แนะนำให้ใช้สกรูแบบเกลียวหยาบเพื่อให้ยึดเกาะได้แน่นหนา ข้อควรระวังของการติดตั้งกับประตูไม้และยูพีวีซี มีดังนี้

  • เช็คความหนาของบานประตู ถ้าบางเกินไปควรเสริมแผ่นเหล็กด้านหลังจุดที่จะยึดโช๊ค
  • หลีกเลี่ยงการเจาะในบริเวณที่เป็นปมไม้หรือเนื้อไม้ไม่แข็งแรง
  • ใช้สว่านสำหรับเจาะไม้ที่คม และเจาะด้วยความเร็วระดับปานกลาง
  • ประตูยูพีวีซี ให้ระวังอย่าเจาะแรงเกิน เพราะอาจทำให้วัสดุแตกได้

วิธีติดตั้งโช๊คประตูเหล็กและประตูอลูมิเนียม

วิธีติดโช๊คประตูเหล็กและอลูมิเนียม ต้องใช้เทคนิคการเจาะกับสกรูที่ต่างจากประตูไม้ ส่วนประตูเหล็ก ควรใช้ดอกสว่านสำหรับเจาะเหล็กกับหยดน้ำมันหล่อลื่นขณะเจาะ เพื่อป้องกันไม่ให้ดอกสว่านร้อนและทื่อเร็วค่ะ

การติดตั้งกับประตูเหล็กและประตูเหล็กดัด

ประตูเหล็กดัด (ประตูมุ้งลวด) ติดตั้งยากกว่าประตูเหล็กทึบ เพราะมีโครงสร้างโปร่ง การติดตั้งให้แข็งแรงมีข้อแนะนำดังนี้

  1. หาตำแหน่งติดตั้งบนโครงสร้างเหล็กกล่องหรือส่วนที่แข็งแรง
  2. เชื่อมแผ่นเหล็กเสริมบริเวณจุดติดตั้ง เพื่อเพิ่มความแข็งแรง
  3. ใช้สกรูสำหรับยึดโลหะพร้อมแหวนรอง เพื่อช่วยกระจายแรง

การติดตั้งโช๊คประตูอลูมิเนียม

  1. ใช้ดอกสว่านสำหรับเจาะโลหะที่คม และเจาะด้วยความเร็วปานกลาง
  2. ควรใช้สกรูร่วมกับพุกพลาสติกหรือแหวนรอง เพื่อป้องกันไม่ให้สกรูคลายตัว
  3. กรณีที่เป็นประตูอลูมิเนียมกรอบกลวง อาจต้องใช้วิธียึดแบบพิเศษหรือใช้แผ่นเหล็กเสริมด้านใน

วิธีติดตั้งโช๊คประตูบานสวิง (Swing Door)

ประตูบานสวิงที่เปิดได้ทั้งสองทิศทาง จำเป็นต้องใช้โช๊คประตูแบบเฉพาะ ส่วนใหญ่มักใช้โช๊คแบบฝังในพื้น (Floor Spring) กับแบบฝังในวงกบด้านบน พบเห็นได้บ่อยในอาคารสำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้าที่ประตูต้องเปิดเข้าและผลักออกได้ ข้อควรระวังของวิธีติดตั้งโช๊คประตูบานสวิง มีดังนี้

  • โช๊คแบบฝังพื้นต้องวางแผนติดตั้งตั้งแต่ขั้นตอนการก่อสร้าง หรือต้องมีการสกัดพื้นเพื่อติดตั้งภายหลัง
  • การปรับตั้งค่าโช๊คบานสวิงซับซ้อนกว่าแบบอื่น แนะนำให้ศึกษาคู่มืออย่างละเอียดหรือใช้บริการช่างติดตั้ง
  • ต้องปรับให้ประตูกลับมาปิดสนิทที่ตำแหน่งกึ่งกลางพอดี ไม่เอียงไปด้านใดด้านหนึ่ง
  • ปัญหาที่พบบ่อยคือประตูดีดกลับแรงเกิน ที่เกิดจากการตั้งค่าไม่สมดุล สามารถแก้ไขได้ด้วยการค่อย ๆ ปรับวาล์วควบคุมความเร็วในช่วงต่าง ๆ ให้ทำงานสัมพันธ์กัน

วิธีติดตั้งโช๊คประตูกระจก

วิธีติดโช๊คประตูกระจกต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะเป็นวัสดุที่แตกหักง่าย โช๊คที่ใช้ส่วนมากเป็นแบบติดบนวงกบหรือแบบฝังในพื้น เพื่อเลี่ยงการเจาะบนบานกระจกโดยตรง คำแนะนำสำหรับการติดตั้งกับประตูกระจก มีดังนี้

  • เลือกใช้โช๊คที่มีกำลังรับน้ำหนักสอดคล้องกับน้ำหนักของบานกระจก ไม่ควรเลือกโช๊คที่แรงเกินไป
  • ถ้าจำเป็นต้องติดตั้งอุปกรณ์บนบานกระจก ต้องใช้อุปกรณ์ยึดที่ออกแบบมาสำหรับงานกระจก เช่น ตัวหนีบกระจก (แคล้มป์)
  • การปรับตั้งค่าความเร็วต้องทำอย่างช้า ๆ เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดแรงกระแทกกับบานกระจก
  • แนะนำให้ใช้บริการช่างที่มีประสบการณ์ในการติดตั้งกับประตูกระจกโดยตรง

 

สรุป

วิธีติดตั้งโช๊คประตู สามารถทำได้ง่ายด้วยตัวเอง ถ้ามีการเตรียมพร้อมที่ถูกต้อง โดยเริ่มต้นจากการเลือกโช๊คอัพให้เหมาะสมกับน้ำหนักและความกว้างของประตู ขั้นตอนหลักในการติดตั้งโช๊คประตูคือ การวัดกับทำเครื่องหมายตำแหน่งที่ถูกต้องบนประตูกับวงกบตามคู่มือ เพื่อทำการเจาะและยึดอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้แน่นหนา จากนั้นค่อยปรับตั้งค่าความเร็วในการปิดให้เหมาะกับการใช้งาน

โช๊คอัพประตูมีประโยชน์หลักในการ ช่วยลดความเสี่ยงที่ประตูจะหนีบมือ หรือกระแทกปิดแรง ๆ เป็นประโยชน์มากสำหรับบ้านที่มี เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือ ผู้ใช้วีลแชร์ นอกจากนี้ ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของประตูและบานพับ ด้วยการลดแรงกระแทก ถ้าไม่สะดวกวิธีติดโช๊คประตูด้วยตัวเอง สามารถใช้บริการติดตั้งจากช่างมืออาชีพได้ โดยใช้เวลาแค่ 20-30 นาที และมักมีการรับประกันงานติดตั้งด้วยค่ะ

Powered by MakeWebEasy.com
เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้