893 จำนวนผู้เข้าชม |
การเลือกโช๊คประตูต้องพิจารณาน้ำหนักของประตูและประเภทการใช้งาน
วิธีติดตั้งโช๊คประตู ขั้นตอนที่ช่วยจัดการปัญหาประตูปิดกระแทกเสียงดัง โช๊คประตู หรือที่เรียกว่า Door Closer เป็นอุปกรณ์สำคัญที่ช่วยควบคุมการเปิด-ปิดของประตูให้นุ่มนวล ป้องกันการกระแทกที่อาจสร้างความเสียหายต่อประตูและวงกบ โช๊คประตูทำหน้าที่ชะลอเวลาการปิดประตู กำหนดจังหวะการปิด และช่วยลดการกระแทกจากการปิดประตู
บทความนี้ S.J.Sourcing จะอธิบายวิธีติดโช๊คประตู ตั้งแต่ขั้นตอนการเตรียมความพร้อม การวัดตำแหน่ง จนถึงการปรับตั้งค่าหลังการติดตั้งโช๊คประตู พร้อมเทคนิคการเลือกโช๊คที่เหมาะกับประตูแต่ละชนิดค่ะ
เลือกอ่านตามหัวข้อ

วิธีติดตั้งโช๊คประตู ต้องเตรียมเครื่องมือที่จำเป็นให้พร้อมและเช็คข้อมูลพื้นฐานของประตูก่อน การเตรียมความพร้อมที่ดีช่วยให้การติดตั้งเร็วขึ้นและได้ผลลัพธ์ที่ดี เครื่องมือพื้นฐานที่ควรมี ได้แก่
คีมล็อค (ถ้ามี) ช่วยยึดชิ้นส่วนให้อยู่ในตำแหน่งขณะติดตั้ง
นอกจากการเตรียมอุปกรณ์แล้ว ก่อนเริ่มวิธีติดโช๊คประตู ควรเช็คข้อมูลของประตูและพื้นที่หน้างานก่อนเสมอ ดังนี้
พื้นที่ในการติดตั้งโช๊คประตู เช็คว่ามีพื้นที่เพียงพอสำหรับติดตั้งโช๊คและแขนโช๊ค โดยเฉพาะบริเวณด้านบนของประตูกับวงกบ

วิธีติดตั้งโช๊คประตูให้ได้ผลดี เริ่มต้นจากการเลือกโช๊คที่เข้ากับประตู ต้องพิจารณาจากน้ำหนักประตู ประเภทของประตู และลักษณะการใช้งาน ประตูแต่ละแบบ เช่น บานสวิง บานเลื่อน หรือบานเปิด-ปิดธรรมดา ก็ต้องการโช๊คที่ออกแบบมาต่างกัน การเลือกที่ถูกต้อง ช่วยให้โช๊คทำงานได้เต็มที่และมีอายุการใช้งานนานขึ้นค่ะ
มาตรฐาน EN (European Norm) เกณฑ์ที่ใช้วัดกำลังการปิดของโช๊คประตู แบ่งออกเป็น 7 ระดับ ตั้งแต่ EN 1 ถึง EN 7 แต่ละระดับจะถูกกำหนดให้เข้ากับน้ำหนักและขนาดของประตูที่แตกต่างกัน ดังนี้ค่ะ
| มาตรฐาน EN | น้ำหนักประตูที่รองรับ | ความกว้างประตูสูงสุด | การใช้งานที่เข้ากัน |
|---|---|---|---|
| EN 1 | ไม่เกิน 20 กก. | 750 มม. | ประตูเล็กในบ้าน ประตูตู้ ประตูห้องน้ำเบา |
| EN 2 | ไม่เกิน 40 กก. | 850 มม. | ประตูห้องในบ้าน ประตูคอนโดมาตรฐาน |
| EN 3 | ไม่เกิน 60 กก. | 950 มม. | ประตูหน้าบ้าน ประตูออฟฟิศภายในอาคาร |
| EN 4 | ไม่เกิน 80 กก. | 1,100 มม. | ประตูหนัก ประตูสำนักงานใหญ่ ประตูทางเข้าของหอพัก/แฟลต |
| EN 5 | ไม่เกิน 100 กก. | 1,250 มม. | ประตูอาคารสาธารณะ ประตูทางเข้าอาคารเรียน/โรงพยาบาล |
| EN 6 | ไม่เกิน 120 กก. | 1,400 มม. | ประตูขนาดใหญ่มาก ประตูอาคารที่มีแรงลมปะทะสูง |
| EN 7 | ไม่เกิน 160 กก. | 1,600 มม. | ประตูขนาดใหญ่พิเศษ (Heavy Duty) ประตูที่ต้องการกำลังปิดสูงมาก |
ค่าน้ำหนักประตูกับความกว้างประตู เป็นค่าแนะนำสูงสุดโดยประมาณ การเลือกใช้โช๊คประตูที่ถูกต้องควรพิจารณาปัจจัยอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น แรงลม ความถี่ในการใช้งาน และน้ำหนักของบานพับ/อุปกรณ์เสริม สามารถเลือกระดับที่สูงกว่าเล็กน้อยเพื่อความทนทาน แต่ไม่ควรเลือกสูงเกินเพราะจะทำให้เปิดประตูได้ยากขึ้นค่ะ
ในท้องตลาดมีโช๊คประตูให้เลือกหลายยี่ห้อ เช่น HAFELE, ISON, SOLEX, YALE, JARTON แต่ละยี่ห้อก็มีจุดเด่นและช่วงราคาที่ต่างกัน ทำให้เลือกได้ตามความต้องการกับงบที่มี ดังนี้ค่ะ
JARTON แบรนด์ไทยที่มีประสบการณ์มานาน ผ่านมาตรฐานการทดสอบการลามไฟ และมีโรงงานผลิตในประเทศ
ถ้าแบ่งตามช่วงราคา รุ่นพื้นฐานของ ISON และ SOLEX อยู่ที่ประมาณ 300-500 บาท ส่วนรุ่นที่มีฟังก์ชันเพิ่มขึ้นของ YALE กับ SOLEX อยู่ในช่วง 500-1,000 บาท สำหรับ HAFELE กับ JARTON ที่เน้นความทนทานและอายุการใช้งานนาน ราคาเริ่มต้นที่ 1,000 บาทขึ้นไปค่ะ
อ่านเพิ่มเติม: โช๊คประตูยี่ห้อไหนดี ? ที่แข็งแรงและตอบโจทย์ทุกการใช้งาน
นอกจากการเลือกกำลังการปิดและยี่ห้อแล้ว ฟังก์ชันเสริมก็เป็นอีกส่วนที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกขึ้น ได้แก่
ความทนทานต่อสภาพอากาศ เหมาะกับประตูติดตั้งภายนอกอาคารที่ต้องเจอกับแดดและฝน ควรเลือกรุ่นที่มีการเคลือบสารป้องกันสนิม

วิธีติดตั้งโช๊คประตูแบบติดผิวบาน (Surface Mounted) คือการนำโช๊คไปยึดติดที่ขอบประตูด้านบานพับ สามารถทำได้ทั้งแบบมาตรฐานหรือแบบแขนขนาน การทำตามขั้นตอนที่ถูกต้องช่วยให้โช๊คทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและมีอายุการใช้งานที่นานขึ้น ขั้นตอนการติดตั้งโช๊คประตูหลัก ๆ มีดังนี้
วัดและทำเครื่องหมายตำแหน่งติดตั้งให้ถูกต้องตามคู่มือที่มากับโช๊คประตู ส่วนใหญ่โช๊คประตูมีแผ่นเทมเพลต (Template) มาให้สำหรับวางทำเครื่องหมาย ถ้าไม่มีให้วัดตามระยะที่ระบุในคู่มือ ทำเครื่องหมายตำแหน่ง 2 จุดหลัก ได้แก่
จุดที่ 2 บนวงกบหรือผนัง ตำแหน่งสำหรับยึดแขนโช๊ค (ต้องคำนวณให้แขนทำงานได้ราบรื่นเมื่อประตูเปิด-ปิด)
ตำแหน่งที่ติดตั้งมีผลต่อการทำงานของโช๊ค ถ้าติดตั้งใกล้บานพับมากเกินทำให้ประตูปิดแรง ควรปฏิบัติตามคำแนะนำของผู้ผลิตอย่างเคร่งครัด
ควรตรวจให้แน่ใจว่าตำแหน่งเป็นระดับโดยใช้ระดับน้ำ การวัดตำแหน่งที่ไม่แม่นยำอาจทำให้แขนโช๊คทำมุมที่ผิดปกติ ส่งผลให้การทำงานไม่มีประสิทธิภาพ
ใช้สว่านไฟฟ้าเจาะรูตามจุดที่ทำเครื่องหมายไว้ ควรเลือกขนาดดอกสว่านให้เหมาะกับสกรูที่มาพร้อมโช๊ค ปกติใช้ดอกสว่านขนาด 3-4 มม. สำหรับประตูไม้ และอาจต้องใช้ดอกสว่านเจาะเหล็กสำหรับประตูเหล็ก
เจาะรูให้ลึกพอที่จะรองรับความยาวของสกรู แต่ไม่ควรลึกเกินจนทะลุออกด้านหลัง ขณะเจาะควรกดสว่านเบา ๆ และให้ดอกสว่านทำงานด้วยความเร็วของมันเอง ข้อควรระวังในการเจาะรู มีดังนี้
สำหรับประตูไม้ ควรใช้ดอกสว่านที่มีความคมและเจาะด้วยความเร็วปานกลาง
ยึดตัวโช๊คประตูลงบนบานประตูด้วยสกรูที่มาในชุด วางตัวโช๊คให้รูสกรูตรงกับรูที่เจาะไว้ จากนั้นใช้ไขควงขันสกรูให้แน่น แต่ไม่ควรขันแน่นจนทำให้เกลียวพังหรือตัวโช๊คบิดเบี้ยว ตรวจเช็คว่าตัวโช๊คติดแน่นและไม่มีการโยกไหว
จากกรณีของผู้ใช้ที่แชร์ประสบการณ์ บางคนพบปัญหาสกรูที่มาให้ไม่แข็งแรงพอ โดยเฉพาะกับประตูที่หนัก แนะนำให้ใช้สกรูคุณภาพหรือสกรูแบบตัวหนอนสำหรับประตูไม้เพื่อการยึดที่แข็งแรงกว่าค่ะ
ติดตั้งแผ่นยึดแขนโช๊คบนวงกบหรือผนังตามตำแหน่งที่วัดไว้ ใช้สว่านเจาะรูและยึดแผ่นรองรับด้วยสกรู จากนั้นเชื่อมต่อแขนโช๊คเข้ากับตัวโช๊คกับแผ่นยึด วิธีติดโช๊คประตูแขนโช๊คมี 3 แบบหลัก ได้แก่
แบบติดบนวงกบ (Top Jamb Installation) ติดโช๊คบนวงกบแทนบานประตู เข้ากับประตูที่มีพื้นที่บนบานประตูจำกัด
เมื่อทั้งตัวโช๊คและแขนโช๊คติดแน่นแล้ว ให้เชื่อมต่อทั้งสองส่วนเข้าด้วยกันด้วยหมุดหรือสกรูที่มาพร้อมชุด ตรวจว่าการเชื่อมต่อแน่นหนา และแขนโช๊คสามารถเคลื่อนที่ได้ดี
ทดสอบเปิด-ปิดประตูหลายครั้งเพื่อตรวจเช็คว่าโช๊คทำงานได้ปกติ ประตูควรปิดด้วยตัวเองช้า ๆ และปิดสนิทโดยไม่กระแทก ถ้ายังไม่เป็นไปตามที่ต้องการ ให้ปรับตั้งค่าในขั้นตอนถัดไป โดยจุดที่ต้องเช็คมีดังนี้
การเคลื่อนที่ของแขนโช๊คราบรื่นและไม่สะดุด

หลังจากทำตามวิธีติดตั้งโช๊คประตูเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการปรับตั้งค่าความเร็วและจังหวะการปิดให้ลงตัว โช๊คประตูส่วนใหญ่ปรับจังหวะการปิดด้วยวาล์วไฮดรอลิก สามารถปรับความเร็วได้ การตั้งค่าที่ถูกต้องทำให้โช๊คทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและตรงตามความต้องการใช้งานค่ะ
จุดปรับความเร็วจะอยู่ที่ตัวโช๊คประตู มีลักษณะเป็นสกรูขนาดเล็กหรือน็อต 2 ตัวที่หมุนได้ด้วยไขควงหรือประแจแอล (Allen key) วาล์วปรับความเร็ว 2 จุดหลัก ได้แก่
วาล์วจังหวะที่ 2 (Latching Speed) ควบคุมความเร็วในช่วง 15° สุดท้ายก่อนประตูปิดสนิท จังหวะนี้มีผลต่อการที่ประตูเข้าล็อกได้พอดี
การปรับความเร็วทำได้ด้วยการหมุนสกรูวาล์วตามเข็มนาฬิกาหรือทวนเข็มนาฬิกา
หมุนทวนเข็มนาฬิกา (คลายออก) ทำให้ประตู-ปิดเร็วขึ้น เหมาะกับพื้นที่ที่ต้องการให้ประตูปิดอัตโนมัติแบบรวดเร็ว
มีคำแนะนำจากผู้ใช้งานว่าไม่ควรหมุนสกรูออกมากเกินไปในครั้งเดียว ให้ค่อย ๆ หมุนทีละ 1/4 รอบแล้วทดสอบการปิดของประตู จากนั้นค่อยปรับเพิ่มจนได้ความเร็วที่ต้องการ การหมุนสกรูออกมากเกินอาจทำให้น้ำมันไฮดรอลิกรั่วซึมออกมาได้ค่ะ
| สถานการณ์ | การตั้งค่าที่แนะนำ |
|---|---|
| บ้านที่มีเด็กเล็ก | ปรับให้ปิดช้าทั้ง 2 จังหวะ เพื่อป้องกันอุบัติเหตุนิ้วหนีบ |
| ห้องแอร์หรือห้องที่ต้องการปิดสนิท | ปรับจังหวะที่ 2 ให้เร็วขึ้นเล็กน้อย เพื่อให้ประตูปิดเข้าล็อกได้สนิท |
| สถานที่ที่มีคนเดินผ่านบ่อย | ปรับจังหวะที่ 1 ให้มีความเร็วปานกลาง และจังหวะที่ 2 ให้ช้าลงเล็กน้อย |
นอกจากการปรับความเร็วแล้ว โช๊คประตูบางรุ่นยังมีฟังก์ชันเสริมที่สามารถปรับตั้งได้ เช่น
ฟังก์ชันตั้งค้าง (Hold Open) โช๊คบางรุ่นอาจมีกลไกตั้งค้างอยู่ที่แขน ช่วยให้เปิดประตูค้างไว้ในมุมที่กำหนดได้ เช่น 90° หรือ 105° สะดวกตอนขนของหรือเมื่อต้องการระบายอากาศ
การทำตามวิธีติดตั้งโช๊คประตูที่ถูกต้อง ในบางครั้งก็อาจพบปัญหาเล็กน้อยหลังการติดตั้งได้ ดังนี้ค่ะ
ประตูปิดกระแทกเสียงดัง เกิดจากการตั้งค่าความเร็วในการปิดเร็วไป วิธีแก้ไขคือหมุนสกรูวาล์วทั้งสองตัวตามเข็มนาฬิกาเพื่อชะลอความเร็วลงจนอยู่ในระดับที่พอใจ

วิธีติดตั้งโช๊คประตูสำหรับประตูแต่ละชนิดมีความแตกต่างกัน ทั้งในเรื่องของขั้นตอนและข้อควรระวัง โช๊คอัพประตูมีอยู่ 4 รูปแบบหลักที่แบ่งตามลักษณะการติดตั้ง ได้แก่ แบบติดบนบานประตู แบบซ่อนในบาน แบบซ่อนในพื้น และแบบสำหรับประตูบานเลื่อน การเลือกรูปแบบโช๊คกับวิธีการติดตั้งให้เข้ากับประตู ช่วยให้การใช้งานมีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ
ประตูไม้และประตูยูพีวีซีติด ตั้งได้ง่ายเพราะสามารถเจาะรูกับยึดสกรูได้โดยตรง แนะนำให้ใช้สกรูแบบเกลียวหยาบเพื่อให้ยึดเกาะได้แน่นหนา ข้อควรระวังของการติดตั้งกับประตูไม้และยูพีวีซี มีดังนี้
ประตูยูพีวีซี ให้ระวังอย่าเจาะแรงเกิน เพราะอาจทำให้วัสดุแตกได้
วิธีติดโช๊คประตูเหล็กและอลูมิเนียม ต้องใช้เทคนิคการเจาะกับสกรูที่ต่างจากประตูไม้ ส่วนประตูเหล็ก ควรใช้ดอกสว่านสำหรับเจาะเหล็กกับหยดน้ำมันหล่อลื่นขณะเจาะ เพื่อป้องกันไม่ให้ดอกสว่านร้อนและทื่อเร็วค่ะ
ประตูเหล็กดัด (ประตูมุ้งลวด) ติดตั้งยากกว่าประตูเหล็กทึบ เพราะมีโครงสร้างโปร่ง การติดตั้งให้แข็งแรงมีข้อแนะนำดังนี้
ใช้สกรูสำหรับยึดโลหะพร้อมแหวนรอง เพื่อช่วยกระจายแรง
กรณีที่เป็นประตูอลูมิเนียมกรอบกลวง อาจต้องใช้วิธียึดแบบพิเศษหรือใช้แผ่นเหล็กเสริมด้านใน
ประตูบานสวิงที่เปิดได้ทั้งสองทิศทาง จำเป็นต้องใช้โช๊คประตูแบบเฉพาะ ส่วนใหญ่มักใช้โช๊คแบบฝังในพื้น (Floor Spring) กับแบบฝังในวงกบด้านบน พบเห็นได้บ่อยในอาคารสำนักงาน หรือห้างสรรพสินค้าที่ประตูต้องเปิดเข้าและผลักออกได้ ข้อควรระวังของวิธีติดตั้งโช๊คประตูบานสวิง มีดังนี้
ปัญหาที่พบบ่อยคือประตูดีดกลับแรงเกิน ที่เกิดจากการตั้งค่าไม่สมดุล สามารถแก้ไขได้ด้วยการค่อย ๆ ปรับวาล์วควบคุมความเร็วในช่วงต่าง ๆ ให้ทำงานสัมพันธ์กัน
วิธีติดโช๊คประตูกระจกต้องใช้ความระมัดระวังสูง เพราะเป็นวัสดุที่แตกหักง่าย โช๊คที่ใช้ส่วนมากเป็นแบบติดบนวงกบหรือแบบฝังในพื้น เพื่อเลี่ยงการเจาะบนบานกระจกโดยตรง คำแนะนำสำหรับการติดตั้งกับประตูกระจก มีดังนี้
แนะนำให้ใช้บริการช่างที่มีประสบการณ์ในการติดตั้งกับประตูกระจกโดยตรง
วิธีติดตั้งโช๊คประตู สามารถทำได้ง่ายด้วยตัวเอง ถ้ามีการเตรียมพร้อมที่ถูกต้อง โดยเริ่มต้นจากการเลือกโช๊คอัพให้เหมาะสมกับน้ำหนักและความกว้างของประตู ขั้นตอนหลักในการติดตั้งโช๊คประตูคือ การวัดกับทำเครื่องหมายตำแหน่งที่ถูกต้องบนประตูกับวงกบตามคู่มือ เพื่อทำการเจาะและยึดอุปกรณ์ต่าง ๆ ให้แน่นหนา จากนั้นค่อยปรับตั้งค่าความเร็วในการปิดให้เหมาะกับการใช้งาน
โช๊คอัพประตูมีประโยชน์หลักในการ ช่วยลดความเสี่ยงที่ประตูจะหนีบมือ หรือกระแทกปิดแรง ๆ เป็นประโยชน์มากสำหรับบ้านที่มี เด็กเล็ก ผู้สูงอายุ หรือ ผู้ใช้วีลแชร์ นอกจากนี้ ยังช่วยยืดอายุการใช้งานของประตูและบานพับ ด้วยการลดแรงกระแทก ถ้าไม่สะดวกวิธีติดโช๊คประตูด้วยตัวเอง สามารถใช้บริการติดตั้งจากช่างมืออาชีพได้ โดยใช้เวลาแค่ 20-30 นาที และมักมีการรับประกันงานติดตั้งด้วยค่ะ